ครีมกันแดดมีกี่ชนิด ควรเลือกใช้แบบไหนถึงจะดี

ครีมกันแดด (Sunscreen) กลายเป็นสกินแคร์ชิ้นสำคัญ ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หรือจะอายุช่วงไหนก็ต้องใช้เป็นประทุกวัน เพราะอากาศในประเทศไทยที่ร้อนแรงขึ้นทุกวันจนแสบผิว หากขาดการปกป้องที่ดีก็อาจทำให้ผิวถูกทำลายจนแสบไหม้ โครงสร้างชั้นผิวเสียหายลึกถึงระดับ DNA ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำและริ้วรอยร่องลึกก่อนวัยอันควรที่จัดการได้ยาก แต่ในปัจจุบันมีครีมกันแดดให้เราเลือกซื้อหลากหลายชนิด จนอาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่า ครีมกันแดดมีกี่ประเภทกันแน่ แล้วเราควรเลือกใช้กันแดดชนิดไหน จึงจะช่วยปกป้องผิวของเราได้มากที่สุด มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันในบทความนี้ได้เลยค่ะ

ผลิตภัณฑ์กันแดด หรือ ครีมกันแดด คืออะไร?
ผลิตภัณฑ์กันแดด หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ครีมกันแดด (Sunscreen) คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาลงบนผิว เพื่อปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายจากรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด ได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet : UV Ray) (UVA, UVB) และรังสีอินฟราเรด (IR) ซึ่งผลิตภัณฑ์กันแดดจะทำหน้าที่คล้ายเกราะป้องกันผิว ไม่ให้ผิวรังสีในแสงแดดตรงเข้าทำร้ายโดยตรง โดยหลักการทำงานของผลิตภัณฑ์กันแดดโดยทั่วไปแบ่งออกได้ 2 ประเภท.
- ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ใช้ส่วนผสมประเภทสารเคมีเพื่อดูดซับรังสี UV ที่ตกกระทบลงบนผิว และทำปฏิกิริยา เปลี่ยนรังสีเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังงานร้อนที่สลายตัวได้ เพื่อปกป้องชั้นผิว ซึ่งกันแดดชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า ครีมกันแดดเคมิคอล (Chemical Sunscreen)
- ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ใช้ส่วนผสมชนิดกายภาพในการสะท้อนเอารังสี UV ออกจากผิวหน้า ช่วยปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำร้าย กันแดดชนิดนี้มีชื่อว่า ครีมกันแดดแบบกายภาพ (Physical Sunscreen)
หากเราไม่ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด หรือใช้ในปริมาณที่ไม่เพียงพอเป็นประจำ ผิวของเราก็มีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายโดยรังสี UVA และ UVB ในแสงแดดอยู่เสมอ ส่งผลให้ผิวแสบไหม้ ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยร่องลึกที่เห็นได้ชัดก่อนวัยอันควร มีปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำที่ฝังลึก หรือในกรณีที่รุนแรงที่สุด คือเมื่อเซลล์ผิวหนังถูกทำลายในจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเพิ่มโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้

ทำความรู้จักรังสีในแสงแดด รังสีร้ายที่คอยทำร้ายผิว
ความจริงแล้วนั้นแสงแดดมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกัน เพราะในแสงแดดยามเช้าจะช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์วิตามินดี 3 ที่ชั้นผิวของเรา ซึ่งวิตามินดีเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึม (Absorb) แคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ในแสงแดดก็มีรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ทำให้ผิวของเราหมองคล้ำ และเซลล์ผิวเสียหายในระดับ DNA ได้ ซึ่งรังสีอันตรายที่พบในแสงแดด ได้แก่
รังสี UVA คือ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดเอ ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 300-400 นาโนเมตร สามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงสายๆ (หลัง 10 โมง) คลื่นรังสี UV ทำลายชั้นผิวของเราได้อย่างรุนแรงและลึกกว่ารังสีตัวอื่นๆ เพราะมีความยาวคลื่นมากที่สุด ทำให้รังสี UVA ทะลุถึงชั้นหนังแท้ ส่งผลให้เซลล์ผิวเกิดความเสียหาย เกิดริ้วรอยร่องลึก มีรอยเหี่ยวย่นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน และทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำชนิดถาวร ซึ่งรังสี UVA ที่พบในธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อยๆ ได้แก่
รังสี UVB คือ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบี มีความยาวคลื่นประมาณ 290-320 นาโนเมตร เพราะความยาวคลื่นที่น้อยกว่าทำให้รังสี UVB สามารถลงลึกได้แค่เพียงชั้นผิวกำพร้า แต่ทั้งนี้ก็ทำให้ผิวไหม้แดด และหมองคล้ำได้ไม่ต่างกัน นอกจากนี้การปล่อยให้ผิวสัมผัสกับรังสี UVB เป็นเวลานาน ก็อาจสร้างความเสียหายให้ชั้นผิวถึงระดับ DNA ได้ และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคผิวหนังที่รุนแรงและโรคมะเร็งผิวหนังได้
รังสีอินฟราเรด (IR) หรือ รังสีความร้อน เป็นคลื่นรังสีไฟฟ้าที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากถึง 54% (ในขณะที่รังสี UV คิดเป็นเพียง 7%) รังสีอินฟราเรดเป็นสิ่งที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น แต่จะสามารถสัมผัสได้ด้วยความร้อน เช่น ความร้อนจากแสงแดด ความร้อนที่ปล่อยออกมาจากรถ ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ในอดีตที่ผ่านมาการดูแลผิวส่วนใหญ่มักเน้นไปที่การป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB เพราะเป็นคลื่นรังสีที่ทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้ แต่ในปัจจุบันพบว่ารังสีอินฟราเรดก็ทำร้ายชั้นผิวของเราได้เช่นเดียวกัน โดยเมื่อเราปล่อยให้ผิวสัมผัสรังสีอินฟราเรดเป็นเวลานาน ก็เสี่ยงทำให้แสบร้อน หมองคล้ำ เซลล์ผิวเสื่อมสภาพ และทำให้ผิวเหี่ยวย่นในที่สุด
ดังนั้นแล้ว จึงควรพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดด ที่ปกป้องผิวของเราได้จากรังสีทุกชนิด ทั้ง UVA-II UVA-II และ IR (อินฟราเรด) ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดด้วยค่ะ

ประเภทของครีมกันแดด
ปัจจุบันมีการพัฒนาครีมกันแดดหลากหลายชนิด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและสภาพผิวของผู้ใช้ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย ผู้ที่มีผิวแห้ง ฯลฯ โดยสามารถแบ่งครีมกันแดดออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ครีมกันแดดประเภทเคมิคอล
เป็นครีมกันแดดที่จะซึมเข้าสู่วผิวหนัง กันแดดชนิดนี้จะมีส่วนผสมของสารเคมี โดยหลักการทำงานคือ การดูดซับคลื่นรังสี UV ที่ตกกระทบบนชั้นผิว และเปลี่ยนคลื่นรังสี UV เหล่านี้ให้กลายเป็นพลังงานความร้อน และขับออกจากผิวในที่สุด สารกันแดดชนิดนี้มีส่วนผสมของสารเคมีหลายชนิด เพื่อช่วยเสริมให้กันรังสี UV ได้ครบทั้ง UVA และ UVB
ส่วนผสมที่มักพบในครีมกันแดดชนิดเคมิคอล (Chemical) ได้แก่ Avobenzone, Octinoxate, Oxybenzonem Phenylbenzimidazole, Tinosirb, Octocrylene, Homosolate เป็นต้น
ข้อดี
- เนื้อครีมบางเบากว่า เกลี่ยง่าย ไม่ทำให้หน้าขาววอก เหมาะกับการใช้ทุกวัน
- ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่า ก็เพียงพอกับการป้องกันผิวจากรังสี (เมื่อเทียบกับกันแดดชนิดอื่น)
ข้อเสีย
- หลังทาครีมกันแดด ต้องใช้เวลาเซตตัวประมาณ 15-20 นาที จึงสามารถออกแดดได้
- เพราะใช้หลักการคายความร้อนออกจากผิว อาจทำให้ผิวรู้สึกร้อน อาจทำให้จุดด่างดำบนผิวหน้าดูเข้มขึ้นได้ หรืออาจทำให้ผิวหน้าแสบ แดง
- เสี่ยงต่ออาการแพ้และระคายเคืองได้มากกว่า เพราะมีส่วนผสมของสารเคมี
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวมัน เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้
กันแดดเคมิคอล เหมาะกับผิวแบบไหน
เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวแข็งแรง เกิดอาการแพ้ได้ยาก
- ครีมกันแดดชนิดฟิสิคอล (Physical Sunscreen)
หรือเรียกอีกชื่อว่า Mineral Sunscreen เนื่องจากเป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุเป็นหลัก โดยสารเหล่านี้จะทำหน้าที่เสมือนเกราะป้องกันผิว ด้วยการสะท้อนคลื่นรังสี UV ออกจากผิว
ส่วนผสมที่พบได้ในครีมกันแดดชนิดฟิสิคอล ได้แก่
- Zinc Oxide ที่สามารถป้องกันรังสีได้ครบทั้ง UVA (UVA-II, UVA-II)และ UVB
- Titanium Dioxide สามารถป้องกันผิวจาก UVB และ UVA-I ได้
ข้อดี
- Zinc Oxide และ Titanium Dioxide เป็นสารกันแดดที่ปลอดภัยต่อผิว ทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้น้อย
- ป้องกันผิวจากคลื่นรังสีได้ทั้ง UVA และ UVB
- หลังทาเสร็จ สามารถออกแดดได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้กันแดดเซตตัว
- อยู่บนผิวได้นานกว่า (เมื่อเทียบกับกันแดดชนิดอื่น)
ข้อเสีย
- เนื้อหนัก เกลี่ยยาก อาจทำให้เกิดปัญหาหน้าขาว หรือหน้าวอกได้
- หลุดออกง่ายเมื่อโดนเหงื่อหรือน้ำ ทำให้ต้องทาซ้ำบ่อยเมื่อโดนน้ำ
- มีคราบขาวเมื่อถูกน้ำ หรือเหงื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ใช้ที่มีโทนผิวสีเข้ม
เหมาะกับผิวแบบไหน
- เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย
- ผู้ที่ผิวอ่อนแอ และมีปัญหาสิวซ้ำซาก
- ครีมกันแดดชนิดฟิสิคอลบางแบรนด์ สามารถใช้กับผิวของเด็กได้
- ครีมกันแดดแบบผสม หรือครีมกันแดดแบบไฮบริด (Hybrid Sunscreen)
เป็นครีมกันแดดที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดข้อด้อยของกันแดดแบบเคมิคอลและฟิสิคอล และนำเอาจุดเด่นของกันแดดทั้ง 2 ชนิดมารวมกัน ดังนี้
- ป้องกันผิวจากรังสีได้ครบ ทั้ง UVA (UVA-I, UVA-II) และ UVB
- ผสานคุณสมบัติทั้งการดูดซับรังสี และการสะท้อนรังสีออกจากผิว
- เนื้อเกลี่ยง่ายมากขึ้น ไม่เหนียว
- ไม่ทำให้หน้าขาววอก ไม่เกิดคราบระหว่างวัน
ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมา ทำให้ปัจจุบันผู้คนนิยมหันมาใช้กันแดดแบบฟิสิคอล และแบบผสมกันมากขึ้น เพราะคุณสมบัติที่ครอบคลุม อยู่ได้นานกว่า เกิดอาการแพ้และอุดตันได้น้อยกว่านั่นเองค่ะ
ซึ่งในปัจจุบันผลิตภัณฑ์กันแดดมีให้เลือกใช้มากมายตามสภาพผิว โดยจะมีลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป
- กันแดดเนื้อครีม เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวแห้ง
- กันแดดเนื้อเจล เหมาะกับผิวธรรมดา-ผิวมัน
- กันแดดเนื้อมูส เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวมัน
- กันแดดเนื้อน้ำนมหรือกันแดดสูตรน้ำ เหมาะกับผิวธรรมดา ผิวแห้ง
และนอกจากนี้ยังมีกันแดดในรูปต่างๆ เช่น สเปรย์กันแดด กันแดดแบบแท่ง (Sunscreen Stick) ครีมกันแดดผสมรองพื้น ครีมกันแดด Tone up รวมถึงกันแดดชนิดกิน ฯลฯ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น ทั้งนี้เราควรพิจารณาเลือกชนิดกันแดด ค่า SPF/PA ที่เหมาะสภาพผิว และเหมาะกับกิจกรรมในแต่ละวัน เพื่อให้ผลิตภัณฑ์กันแดดปกป้องผิวของเราจากรังสี และมลภาวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

เลือกใช้กันแดดอย่างไรให้เหมาะกับผิว
- หากเป็นคนที่มีแนวโน้มว่าผิวบอบบางและแพ้ง่าย แนะนำว่าเลือกใช้เป็นกันแดดแบบฟิสิคอล หรือแบบผสมจะเหมาะกว่าค่ะ โดยเลือกเนื้อของกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวด้วย เช่น เป็นคนผิวแห้ง และผิวแพ้ง่าย แบบนี้เลือกใช้กันแดดแบบฟิสิคอล หรือแบบไฮบริด แบบเนื้อครีม หรือเนื้อน้ำนมจะเหมาะว่า
- หากเป็นคนที่มีผิวธรรมดา ผิวแข็งแรง เกิดอาการแพ้ได้ยาก สามารถเลือกใช้กันแดดได้ทุกชนิด รวมถึงกันแดดแบบเคมีคอลด้วยค่ะ
- สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้สารเคมีในกันแดดแบบเคมีคอล อาจมีความเสี่ยงที่จะแพ้ครีมกันแดดแบบผสมได้เหมือนกันค่ะ เพราะในแบบผสมอาจมีส่วนผสมของสารเคมีกันแดดบางตัวที่เราแพ้


Sophist All-Physical Moisture Daily UV Defense SPF 50+ PA++++ (คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดสินค้า) ครีมกันแดดสูตรพิเศษ จาก Sophist ที่จะช่วยปกป้องผิวของคุณ จากรังสียูวีได้อย่างล้ำลึก พร้อมเติมความชุ่มชื้นให้ผิวตลอดวัน ผสานพลังต้านผิวแก่
- SPF50+ PA++++ ปกป้องผิวจากรังสี UVA-II, UVA-II, UVB, Blue Light, IR, Pollution
- เติมความชุ่มชื่นให้กับผิว ด้วย Hyaluronate 8 molecule ว่านหางจระเข้ และ Glycerine
- 3 พลัง Antioxidants: Lingonstem, Royal Jelly และ Vitamin E Tocotrienols